ขอเริ่มเลยนะครับ ผมชื่อ “นนท์” ครับ พ่อชื่อนายประยงค์ สงกล้าหาญ แม่ชื่อนางอมรรัตน์
สงกล้าหาญ ตอนเด็กๆผมก็เคยถามพ่อกับแม่นะครับว่าผมเกิดมาได้อย่างไร พ่อกับแม่ไปรักกันตอนไหน
แต่มันนานมากแล้วผมก็จำไม่ค่อยได้ ความทรงจำที่มันยังเลือนลางอยู่ก็รู้แค่ว่า เมื่อนานมาแล้วนายประยงค์ทำงานเป็นยามอยู่บริษัทแห่งหนึ่งนางอมรรัตน์ก็มาสมัครงานเป็นยามเมื่อทั้งสองเจอกันก็รักกันแต่งงานกันจนกระทั่ง
คืนวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2534
ท่านก็ได้ให้กำเนิดผมขึ้นมา สมัยนั้นแม่บอกว่าแม่ติดละครเรื่องหนึ่งมากพระเอกชื่ออานนท์
และแน่นอนครับ เด็กชายอานนท์ สงกล้าหาญ ก็กลายมาเป็นชื่อของผม ผมมีพีน้องทั้งหมด 3
คนครับผมเป็นลูกชายคนกลาง
มีพี่สาวและน้องสาว พี่สาวของผมชื่อ “พี่น้ำ” ผมกับพี่สาวเราห่างกันแค่ปีเดียวครับตั้งแต่ผมจำความได้เราไม่ค่อยจะรักกันซักเท่าไรทะเละกันทุกเรื่องตลอดเวลาเรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้เลยผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร
พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ปวดหัวทุกวันก็เลยตัดสินใจมีน้องอีกคนมาเพื่อสงบศึกระหว่างผมกับพี่สาว
น้องสาวผมชื่อ “น้องนิว” ครับอายุห่างจากผมประมาณ 6 ปีเป็นน้องที่น่ารักเหมือนที่พ่อกับแม่หวังไว้เลยครับตอนน้องคลอดใหม่ๆและดูเหมือนว่าสงครามระหว่างผมกับพี่สาวจะสงบลงเพราะเห่อน้องสาว
และครอบครัวเราก็อยู่กันมาแบบนี้แหล่ะครับจนถึงวันนี้ ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนโชคดีคนมากๆคนหนึ่งเลยนะครับเพราะเมื่อไรที่ผมนึกถึงบ้านมันมีแต่ความคิดถึงครับ
คิดถึงพ่อคิดถึงแม่คิดถึงพี่คิดถึงน้องของผม และเมื่อผมกลับไปก็จะมีพวกเขาเหล่านั้นรอผมอยู่ที่บ้านเสมอ


เด็กชายอานนท์ สงกล้าหาญ เด็กชายอานนท์เป็นเด็กขี้แยตั้งแต่เล็กครับ
บ้านอยู่อำเภอ วิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ พออายุได้ 4
ขวบ
พ่อกับแม่ก็จับเข้าโรงเรียนพร้อมกับพี่สาวซึ่งตอนนั้นพี่สาวอายุ 5 ขวบ ชื่อโรงเรียนอนุบาลวิเชียรบุรี
เป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านมากๆครับเดินสองก้าวก็ถึง
เพราะมันใกล้นี้เองจึงทำให้เด็กชายอานนท์ร้องให้กลับบ้านทุกวันเพราะเขาคิดในใจเสมอว่าวุฒิภาวะของเขานั้นยังไม่พร้อมสำหรับการเรียน
ก็เลยร้องให้กลับบ้านทุกวันเพื่อแสดงออกให้พ่อกับแม่ของเขาเห็นว่าเขายังไม่พร้อมจริงๆจนพ่อกับแม่เห็นความตั้งใจเลยพักการเรียนของเด็กชายอานนท์ไว้
1 ปีแล้วให้ไปเข้าเรียนอนุบาล 1 อีกครั้งตอนเขาอายุได้
5 ปีบริบูรณ์ แม้เด็กชายอานนท์ยังรู้สึกว่าตัวเขาเองก็ยังไม่พร้อมสักเท่าไร
แต่ด้วยเห็นเพื่อนๆรุ่นเดียวดันอายุ 5 ขวบเหมือนกันเขาอยู่กันได้ตัวเขาเองก็ต้องอยู่ได้แม้จะร้องให้กลับบ้านบ้างเป็นบางครั้งแต่เด็กชายอานนท์ก็เรียนจบชั้นอนุบาลได้อย่างฉลุย
ป.1 เด็กชายอานนท์ และผองเพื่อนก็เริ่มตั้งตนเป็นใหญ่ในหมู่เพื่อนรุ่นเดียวกัน
ด้วยความที่บ้านเขาอยู่ใกล้โรงเรียนและคุ้นเคยกับคุณครูหลายๆท่านเป็นอย่างดี เด็กชายอานนท์เป็นเด็กที่มีความสามรถพิเศษในหลายๆด้าน
เช่น หารายได้พิเศษโดยการเล่นโยนเหลียญคาบเส้นจนมีเงินเหลือเฟือกลับบ้านทุกวัน ดีดลูกแก้วได้แม่นมากจนเป็นที่คร่ำวอร์ดในวงการแถวบ้านเรียก “เซียนอ่ะ” ฯลฯ ด้วยความสามรถเหล่านี้เองทำให้เด็กชายอานนท์ไต่เต้าจากลูกกระจ๊อกในแก๊งจนกลายมาเป็นหัวโจกคนหนึ่งของรุ่น
และแล้วเด็กดีที่มีความใฝ่รู้ภาคเพียรก็เรียนจนจบ
ป.3 แบบเซียนๆ
ป.4 เด็กชายอานนท์เริ่มรู้สึกโตเป็นผู้ใหญ่อะไรที่เด็กๆทำเขามองเป็นเรื่องไร้สาระ
เข้ามีความชอบวิชาทางด้านศิลปะเป็นพิเศษ จนคุณครูเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขาเฝ้าฝึกฝนวิทยายุทธให้จนเด็กชายอานนท์ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปไปแข่งคาวมามารถด้านศิลปะได้รางวัลสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนมากมาย
ทำให้เขามีความรักในด้านศิลปะมาตั้งแต่บัดนั้น
และแล้วมันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วครับ จบ ป.6 สบายๆ
ม.1 ผมและผองเพื่อนยกแก๊งกันเข้าโรงเรียนมัธยม
ชื่อโรงเรียนนิยมศิลป์อณุสรณ์ เป็นโรงเรียนเล็กๆประจำอำเภอ วิเชียรบุรี
และเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่ใกล้บ้านผมมากเดินสามสี่ก้าวก็ถึงและก็อีกนั่นแหล่ะครับผมก็เลยคุ้นเคยกับอาจารย์หลายๆท่านเป็นอย่างดี
ผมเป็นคนโชคดีครับมีเพื่อนที่คบกันมานานตั้งแต่สมัยปอขี้ไก่จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่เป็นเด็กหลังห้อง
ชีวิตช่วงมัธยมต้นมันก็เรื่อยๆครับไม่มีอะไรมาก ผมก็ทำอำไรๆเหมือนชาวบ้านเค้าทำกัน
เล่นกีต้าร์เหล่สาวๆ แอบชอบรุ่นพี่ มีเรื่องกับรุ่นน้อง เตะบอลตอนเลิกเรียนกับเพื่อนๆ โดดเรียนไปร้านเกมส์บ้างให้ชิวิตมันมีอะไรตื่นเต้น ฯลฯ ใช้ชีวิตสุนกๆไปวันครับ จบ ม.3 แบบงงๆ

ม.4 ชีวิตม.ปลายของผมช่วงแรกๆมันออกจะเนอร์ดๆหน่อยครับเพราะทะลึ่งสอบติดห้องคิง
เห็นเพื่อนๆขยันเรียนผมก็เลยขยันเรียนตามเพื่อน เรียนพิเศษทุกเย็นวิชาอะไรที่ชาวบ้านเขาเรียนกันผมก็เรียนมันสะบั้นหั่นแหลก
ยังไม่รู้หลอกครับว่าจะเรียนไปทำไมมากมายก็แค่ตามๆเพื่อนไป จนมาถึงจุดพลิกผันที่สำคัญมากในชีวิตของผมก็เมื่อตอนปิดภาคเรียนที่ 1 ชั้นม.5 คือผมมีเพื่อนคนหนึ่งบ้านมันอยู่ลาดกระบังครับ
มันรู้ข่าวว่าที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เนี่ยมีค่ายติวความถนัดทางสถาปัตย์
ด้วยความที่เป็นเพื่อนสนิทกันและมันคงเห็นเห็นว่าผมชอบศิลปะก็เลยชวนผมมาด้วย ผมก็มาซิครับมันก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆปี้ๆไม่มีอะไรทำ
ถ้าผมจำไม่ผิดค่ายติวครั้งนั้นน่าจะชื่อค่าย พันธมิตรประชาทิปเต็ก อะไรประมาณเนี้ย
พอมาถึงวันแรกก็ต้องบอกว่ามันใช่เลยครับ อะไรๆมันก็ดูเพลินตาไปหมดเพื่อนๆจากต่างที่
พี่ๆที่เดินผ่านไปผ่านมา “น่ารั๊กอ่ะ” ...เอาจริงๆนี่เป็นแค่เหตุผลหนึ่งครับในตอนนั้นที่ผมเลือกเส้นทางชีวิตนี้เหตุผลสำคัญจริงๆคือผมพึ่งค้นพบวิชาชีพที่มันไม่ต้องใช้วิชา
เคมี ชีวะ ภาษาไทย พุทธศาสนา ไม่ต้องใช้วิชาอะไรที่ผมไม่ชอบ มันเป็นวิชาชีพที่ใช้ความสามารถทางด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ซิ่งเป็นวิชาที่ผมค่อนข้างถนัดคือเรียนแล้วรู้สึกเบื่อน้อยที่สุดแล้วครับ
อีกอย่างผมรู้สึกว่า “เด็กถาปัตย์” เนี่ยมันเท่อย่างบอกไม่ถูก
ด้วยเห็ตผลเหล่านี้มันทำให้ผมติดสินใจเลือกเส้นทางสายนี้ตั้งแต่วันนั้นครับ พอเริ่มติวเนี่ยผมเริ่มรู้สึกว่าโลกมันกว้างกว่าที่คิดครับเหนือฟ้าก็ย่อมมีฟ้า
อยู่ที่บ้านผมคิดว่าตัวเองเนี่ยเจ๋งมากแล้วพอมาเจอเพื่อนรุ่นพี่ที่นี่ทำเอาผมหงอยอ่อนด๋อยไปเลยครับ
เพราะเพื่อนๆหลายๆคนเก่งมากๆครับ พี่ติวนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย
ในตอนนั้นผมก็ได้แต่คิดว่าทำอย่างไรผมจะเก่งเหมือนพี่ๆที่นี่ได้ จนจบค่ายผมกลับมาถึงบ้าน
คำแรกที่ผมพูดกับแม่คือ “แม่
อยากเรียนถาปัตย์” แม่ผมก็ทำหน้างงๆท่านก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้
“ถาปัตย์” เนี่ยมันคืออะไรเรียนแล้วเอาไปทำอะไร แต่ผมว่าท่านคงแอบปลื้มใจไม่มากก็น้อยที่ลูกชายคนนี้รู้จักเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง
จากนั้นผมก็เรื่อมหาซื้อหนังสือมาอ่านครับหนังสือที่เคยเห็นเพื่อนอ่านกันตอนไปติวผมก็ลองซื้อมาอ่านดู
ยิ่งอ่านผมก็ยิงชอบยิ่งสนใจ พอคนเรามันมีแรงบันดาลใจมันที่เคยว่ายากมันก็ทำได้ทั้งนั้นแหล่ะครับ
ผมเริ่มจากการวาดรูปทุกวันวาดนู่นวาดนี่วาดมันสะบั้นหั่นแหลก
ฝึกวิทยายุทธจนผมสามารถสอบโควตาเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.)ได้เป็นที่แรกครับตอนนั้นผมดีใจมากจึงตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนที่นั่นเพราะเพื่อนหลายคนก็เรียนที่นั่นเหมือนกัน
แล้ววันนึงไอ้เพื่อนคนเดิมมันก็ชวนผมให้ลองมาสมัครสอบตรงเข้าคณะสถาปัตย์ที่ลาดกระบังนี้เป็นเพื่อนมันหน่อย
พอคิดถึงที่นี่ผมก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจเลยครับ
ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กบ้านนอกอย่างผมมันจะทำได้ซักแค่ไหน นี่ไม่ได้คุยนะครับแต่ผมขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัดผมจึงไม่เคยมีโอกาสได้ติวความถนัดทางด้านสถาปัตย์ที่ไหนเพราะแถวบ้านผมมันไม่มีครับ
พอถึงวันสอบมันก็ตื่นเต้นครับผมเดินป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณบันไดทางขึ้นห้องสอบ
มองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนๆหลายๆคนมีอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มไปหมดในการทำข้อสอบ มีทั้งสีไม้ สีน้ำ สีน้ำมัน โคปีก สีอะครีลิค
พลุงพลังเยอะแยะเต็มไปหมดเห็นแล้วใจมันก็เริ่มแป้วครับ เพราะที่ตัวผมเองมีแค่
ดินสอดารฟหัวแหลมเปี๊ยบ ปากกาปิกม่าเบอร์ 1 3 5 แล้วก็ปากกาหัวม้า 1 แท่ง
พอถึงเวลาสอบมันก็ต้องสอบครับแรกๆผมก็นั่งตัวสั่นยิ๊กๆ
ก็มันหนาวแล้วมันก็ตื่นเต้นมากครับ แต่ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียพอตั้งตสิได้เริ่มอ่านข้อสอบความตื่นเต้นมันก็ค่ายๆหายไปครับคงเป็นเพราะข้อสอบมันไม่ได้ยากอย่างที่ผมคิด
ผมทำเต็มที่ครับ เสร็จก็ออกก็กลับบ้านแปบไม่ได้หวังอะไรมาก แล้วผมก็แทบไม่เชื่อตัวเองครับ ผมสอบติด! ในตอนนั้นผมดีใจสุดชีวิตครับแต่ที่มากกว่าคือแม่ของผม
ผมยังจำสีหน้าและแววตาอันปลื้มปิติของแม่ในวินาทีที่ผมเดินไปบอกท่านได้
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกกับตัวเองจริงๆว่าความเพียรพยายามและความกล้าที่จะทำในสิ่งที่เรารักนั้นมันไม่เสียเปล่าเลยจริงๆครับ และแล้วในตอนบ่ายของวันหนึ่งที่ร้านเกม เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น
“สวัสดีค่ะใช่น้องอานนท์หรือเปล่าค๊ะ”...“ครับ”... “วันพรุ่งนี้เป็นวันแรกพบน๊ะค๊ะเจอกันเก้าโมงเช้าที่คณะน๊ะ” แล้วปุบปับชีวิตม.ปลายของผมก็จบลงอย่างน่าใจหาย...ผมต้องจากบ้านแล้ว

ชีวิตเด็กถาปัตย์ วันแรกที่ผมก้าวเข้ามาในฐานะนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ภาควิชาสถาปัตย์กรรม
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีครับมันเป็นวันที่ผมรู้สึกประหม่าที่สุดในชีวิตครับ
เพราะอย่างที่บอกผมเป็นเด็กต่างจังหวัดไม่เคยเรียนพิเศษที่สำนักติวใดๆในกรุงเทพฯเลย
ผมจึงไม่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาใครเลยแม้แต่คนเดียวมันเคว้งมากครับ แต่ไม่นานนักความรู้สึกนี้มันก็เริ่มหายไปครับมันถูกแทนที่ด้วยมิตรภาพของเพื่อนๆพี่ๆรวมถึงอาจารย์หลายๆท่านครับ
และไม่รู้ทำไมยิ่งนานวันมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าที่นี่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ลาดกระบังแห่งนี้มันคือ...บ้าน ตอนนี้ผมชั้นปีที่ 4 เทอมปลายแล้วครับ
ใกล้แล้ว วันเวลาที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มันผ่านไปเร็วอย่างหน้าใจหายครับ
แต่ถ้าลองนึกย้อนดูดีๆเหตุการณ์ต่างๆตลอดเวลาสามปีครึ่งที่ผ่านเข้ามาในในชีวิตของผมนั้นผมยังจำมันได้ดี
บ่อยครั้งผมและเพื่อนๆก็ยังนั่งคุยถึงเรื่องราวของวันเวลาเก่าๆเหล่านั้นไปตามประสาคนที่อยู่มานานครับ
และเรื่องราวเหล่านั้นมันยังคงทำให้เรายิ้มได้เสมอ


















เรื่องของอนาคต
นั้นเอาเข้าจริงๆแล้วผมก็ยังไม่แน่ใจอะไรหรอกครับ
รู้แต่ว่าผมเป็นคนชอบงานทางด้านสถาปัตยกรรมไทยครับ ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูกนะครับ ผมแค่รู้สึกว่าผมเป็นคนไทยอะไรที่มันไทยแท้ผมก็อยากจะรู้อยากจะเรียน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น