วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

DECONSTRUCTION

DECONSTRUCTION

ความพยายามของสถาปัตยกรรมในคตินิยมเปลี่ยนแนว คือการพยายามนำสถาปัตยกรรมออกจากที่ผู้ออกแบบเรียกว่า กฎตายตัวของโมเดิร์นนิสม์ อย่างเช่น "รูปทรงตามประโยชน์ใช้สอย" , "สัจจะแห่งรูปทรง" และ "เนื้อแท้แห่งวัสดุ"

คตินิยมเปลี่ยนแนว (deconstructivism) หรืออาจเรียกว่า ดีคอนสตรักชัน (deconstruction) เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่พัฒนาจากสถาปัตยกรรมหลังนวยุคนิยม ที่เริ่มช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 โดยมีเอกลักษณ์จากรูปแบบการแตกกระจาย, ความสนใจในการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวของโครงสร้างหรือเปลือก, รูปร่างที่ไม่ใช่เส้นตรง ที่ทำให้เกิดการทำให้บิดเบี้ยวและความไม่เป็นระเบียบขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม อย่างเช่นโครงสร้างและสิ่งห่อหุ้ม ภาพปรากฏของอาคารที่เห็นจะมีเอกลักษณ์ที่เร่งเร้าสิ่งที่คาดไม่ถึงและความยุ่งเหยิงที่ถูกควบคุม


คำว่า Deconstruction มาจากนักนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสชื่อ Jacques Derrida ได้นำคำดังกล่าวมาจากงานของ Martin Heidegger. ในช่วงฤดูร้อนของปี 1927 Martin Heidegger ได้เสนอคำบรรยายชุดหนึ่ง ซึ่งปัจจุบัน ได้รับการพิมพ์ขึ้นมาภายใต้ชื่อ Basic Problems of Phenomenology (ปัญหาพื้นฐานต่างๆเกี่ยวกับปรากฎการณ์วิทยา….วิธีการทางปรัชญา ที่ให้ความสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับความสำนึกและวัตถุต่างๆจากประสบการณ์ตรง) Heidegger กล่าวว่า ปรากฎการณ์วิทยาเป็นชื่อของวิธีการอันหนึ่งในการศึกษาปรัชญา; เขากล่าวว่า วิธีการดังกล่าวมีขั้นตอนอยู่ 3 ขั้นด้วยกันคือ - การลดทอน, การสร้าง, และการทำลาย (reduction, construction, and destruction) - และเขาได้อธิบายว่า กระบวนการ 3 ขั้นตอน มีความเกี่ยวข้องกันและกัน. "การสร้าง" (construction) มีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวพันกับ "การทำลาย" (destruction), เขากล่าว, ต่อจากนั้นก็ได้ทำการวิเคราะห์ "การทำลาย" (destruction) ด้วย "การรื้อโครงสร้าง"(deconstruction = abbau), Heidegger อธิบายสิ่งที่เขาหมายถึง "การทำลายทางปรัชญา" โดยการใช้คำในภาษาเยอรมันเดิม ซึ่งเราอาจแปลมันตามตัวอักษรว่า "unbuild" เขาหมายถึง abbau ว่า deconstruction - เพื่อให้ความกระจ่างมากขึ้นว่า เขาไม่ได้ต้องการให้หมายความถึง "taking things apart" (ถอดสิ่งต่างๆออก) จริงๆ. Heidegger ไม่เชื่อว่ามันมีเครื่องมืออัตโนมัติที่เรียกว่า "เหตุผล" ซึ่งเรานำมาใช้โดยไม่คำนึงถึงภาษา, เวลา, สถานการณ์, สภาพแวดล้อมของเรา, หรือความสนใจต่างๆ, เพื่อวิจารณ์ความคิดต่างๆ. ซึ่งดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถเริ่มต้นมาจากศูนย์ หรือจุดตั้งต้นของเหตุผลอันนั้น, หรือเป็นอิสระจากแนวความคิดต่างๆที่มีอยู่แล้ว, ศัพท์แสงต่างๆ, หรือวิธีการเข้าถึงทั้งหลาย, มันจึงปรากฎออกมาว่า เราได้ถูกบีบบังคับให้ทำซ้ำอดีตและความผิดพลาดของมัน. สำหรับ Derrida คำว่า deconstruction เป็นท่าทีอันหนึ่ง, ในความหมายระดับรากของคำๆนั้นเลยทีเดียว. มันคือตำแหน่ง(สมมุติ)หนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่าง


Deconstruction คือแนวคิดแบบใหม่ เทคนิคคือการฉีกรื้อรูปทรงของสิ่งใดๆ (รวมถึงรูปทรงทางความคิดและการสื่อสาร) ออกมาดูกันใหม่ displace คือการเลื่อนที่ หรือย้ายตำแหน่ง ขยับใหม่ ซึ่งเป็นการท้าทายหรือฝ่าฝืนกฏเกณฑ์การออกบบเดิมๆ โดยเข้าใจว่าการคิดรื้อย้ายดังกล่าว จะได้รูปทรงใหม่ที่มีความหมายสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แปลกกว่าเดิมๆ สถาปนิกที่นำความคิดนี้ไปใช้ทางสถาปัตยกรรม คือ Peter Eisenman และ Bernard Tschumi เป็นต้น ทั้งสองสถาปนิกเคยเชิญเจ้าของทฤษฎีนักปรัชญาเดิมคือ Jacques Derrida มาร่วมในงานออกแบบสถาปัตยกรรม  สนองตอบในรูปแบบ Deconstructive Architecture คือการรื้อย้ายโครงรูปของ space แบบเดิมๆออก มีการจับหมุน จับวางซ้อนทับ (ในแนวแกนที่ต่างกัน) ฯลฯ เกิดรูปแบบแปลกๆ (ดูงานออกแบบต่อเติม The College of Design, Architecture, Art, and Planning at the University of Cincinnati )
แนวคิด Deconstruction ละทิ้งแนวทางการออกแบบที่ว่างและรูปทรงต่างจากเดิมๆ คือ Classic..ที่เน้นการคิดจากข้างนอก (structure and proportion) สู่ข้างใน Modern…ที่เน้นจากข้างใน (ประโยชน์ใช้สอย) ออกสู่รูปทรงภายนอก and Post-Modern…ที่ผสมผสานทั้งสองสิ่งกับบริบทโดยรอบของที่ตั้งและรูปทรงสัญลักษณ์เป็นสำคัญ ในส่วนของ Deconstruction นั้นใช้วิธีการขยับรื้อกฏเกณฑ์เดิมของการคิดเดิมทั้งหลาย เช่นการย้ายหมุน การซ้อนทับ ด้วยการเบี่ยงแกนหรือแนวในแต่ละชั้น (layers) ตลอดเวลา ทำให้ได้รูปทรงภายนอกที่แปลก ซับซ้อนกว่าเดิมโดยไม่คำนึงถึงบริบทที่คงที่ของที่ตั้งแต่จะสนองการโยกย้ายเปลี่ยนแปลงเสมอๆ แม้แต่คุณค่าสถาปัตยกรรมแต่เดิมเพื่อการอยู่อาศัยหรือการใช้สอยนั้น Derrida แย้งว่าน่าจะเป็นคุณค่ารอง และสถาปัตยกรรมน่าจะเป็นเรื่องการสนองตอบทางการเสพปัญญาและอารมณ์ของมนุษย์ด้วย นอกเหนือจากคุณค่าเดิมดังกล่าว ส่วนในงานของ Tschumi นั้น เขามีความคิดที่แย้งว่าสถาปัตยกรรมเดิมมีรูปแบบเป็นกฏเกณฑ์ที่ตายตัวเกินไป บางส่วนแฝงไว้ในส่วนการใช้สอย เพื่อความเป็นอิสระต่อความคิด ควรพิจารณาการ deprogram or crossprogram…รื้อโปรแกรมเสียใหม่ นำมาแยกพิจารณาแล้วจึงนำกลับไปประกอบกันใหม่ งานของ Tschumi จึงเป็นการแยกแยะ space ของอาคารออกเป็น zone แล้วนำมาจัดเรียงกันใหม่ในลักษณะเหมือนการถักทอประสานกัน หรือบางครั้งเป็นการวางประจันกันอย่างที่เรียกว่า juxtaposion ด้วยวิธีการนี้ทำให้เกิดที่ว่างและรูปทรงในลักษณะใหม่ๆ

ตัวอย่างงานสถาปัตยกรรมภายไต้แนวคิด DECONSTRUCTION

      สถาปัตยกรรม โดยวิเคราะห์จากงานของสถาปนิกที่สำคัญสองท่านคือ Peter Eisenman และ Bernard Tschumi ทั้งสองต่างเป็นสถาปนิกและนักการศึกษาในเวลาเดียวกัน ซึ่งคงต้องสำรวจผลงานการออกแบบของเขาต่อไป เพื่อจะได้เข้าใจแนวความคิดตามปรัชญาของ Deconstruction ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

Parc de la Villette By  Bernard Tschumi




        การประกวดแบบโครงการ the Parc de la Villette ดำเนินการโดยรัฐบาลฝรั่งเศษในปี 1982. จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นทั้งเครื่องหมายแสดงวิสัยทัศน์และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตที่มีนครปารีสเป็นศูนย์กลาง

        Bernard Tschumi ได้ทำความเข้าใจโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ผ่านมา(ไม่ได้หมายถึงโครงสร้างเพื่อความแข็งแรงทางกายภาพของอาคาร แต่เป็นโครงสร้างของสถาปัตยกรรม เช่น องค์ประกอบอาคาร การใช้สอยพื้นที่ เป็นต้น) เขาให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เชิงลำดับชั้น(อำนาจ)ของสถาปัตยกรรม รูปทรง-ประโยชน์ใช้สอย, สิ่งประดับ-โครงสร้าง, ที่ว่าง-ประโยชน์ใช้สอย(กิจกรรม) รวมถึงปรากฏการณ์การปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยของอาคารเก่า(เหตุการณ์) เช่น การเปลี่ยนสถานีรถไฟเก่าเป็นพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น ความเข้าใจดังกล่าวได้นำให้ Bernard Tschumi นำสิ่งเหล่านี้มาสร้างเป็นเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การออกแบบโครงสร้างที่ไม่เป็นความสัมพันธ์แบบลำดับชั้นได้ และทำให้เกิดปรากฏการณ์(เหตุการณ์) ที่แตกต่างไปจากเดิมขึ้นได้ หากจะอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ ลองสมมุติว่าตามปกติ บ้านจะแบ่งออกเป็นห้องต่างๆตามการใช้สอย เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องครัว เป็นต้น ห้องนั่งเล่นถูกกำหนดไว้เป็นห้องที่สร้างความรู้สึกสบายๆสำหรับพักผ่อน แต่หากเราเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นว่าห้องทุกห้องในบ้านสามารถใช้เป็นห้องพักผ่อนได้ ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงของห้องทุกห้องกระบวนระบบและการซ้อนทับอย่างเหนือชั้น(SYSTEMS AND SUPERIMPOSITIONS)


House X, Guardiola House By Peter Eisenman

HOUSE X

GUARDIOLA HOUSE




HOUSE X                      GUARDIOLA HOUSE
        สำหรับ Peter Eisenman ได้ทำความเข้าใจโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ผ่านมา ผ่านองค์ประกอบอาคาร เช่น เสา คาน ผนัง หน้าต่าง เป็นต้น ประกอบกับความหมายและหน้าที่ขององค์ประกอบอาคาร ดังนั้นเสาและผนังอาจไม่จำเป็นต้องชัดเจนหรือเป็นรูปแบบที่คุ้นเคย นอกจากนี้ Peter Eisenman ยังทำความเข้าใจโครงสร้างผ่าน Space โดยใช้หลักคิดแบบคู่ตรงข้ามของ place / no place เพื่อสร้างร่องรอยที่ลากเลื่อนของแนวองค์ประกอบต่างๆรอบ Space ด้วยวิธีการนำองค์ประกอบเช่น ผังพื้น มาซ้อนทับกันหลายๆครั้ง จนเกิดเป็น space ที่ลางเลือนซึ่งเกิดสภาพที่เรียกว่าทั้งดำรงอยู่และหายไป



         http://th.wikipedia.org/






































เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหวของดีคอนสตรักทิวิสต์ อย่าางเช่นงานการแข่งขันการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ปาร์กเดอลาวีแล็ต (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผลงานการเข้าแข่งขันของ ฌัก แดรีดา และปีเตอร์ ไอเซนมาน[1] และผลงานชนะเลิศของเบอร์นาร์ด ชูมี , งานนิทรรศกาลสถาปัตยกรรมดีคอนสตรักทิวิสต์ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ ในปี 1988 ที่นิวยอร์ก จัดขึ้นโดยฟิลิป จอห์นสันและมาร์ก วิกลีย์ และงานเปิดของเวกซ์เนอร์เซนเตอร์ฟอร์ดิอาร์ตส ในโคลัมบัส ออกแบบโดยปีเตอร์ ไอเซนมาน และงานนิทรรศการเดอะนิวยอร์กเอกซิบิชัน ที่มีผลงานของแฟรงก์ เกห์รีแดเนียล ลิเบส์ไคนด์เร็ม คูลฮาสปีเตอร์ ไอเซนมานซาฮ่า ฮาดิดCoop Himmelb(l)au และเบอร์นาร์ด ชูมี

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

               ขอเริ่มเลยนะครับ ผมชื่อ นนท์ ครับ พ่อชื่อนายประยงค์ สงกล้าหาญ แม่ชื่อนางอมรรัตน์ สงกล้าหาญ ตอนเด็กๆผมก็เคยถามพ่อกับแม่นะครับว่าผมเกิดมาได้อย่างไร พ่อกับแม่ไปรักกันตอนไหน แต่มันนานมากแล้วผมก็จำไม่ค่อยได้ ความทรงจำที่มันยังเลือนลางอยู่ก็รู้แค่ว่า เมื่อนานมาแล้วนายประยงค์ทำงานเป็นยามอยู่บริษัทแห่งหนึ่งนางอมรรัตน์ก็มาสมัครงานเป็นยามเมื่อทั้งสองเจอกันก็รักกันแต่งงานกันจนกระทั่ง คืนวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2534 ท่านก็ได้ให้กำเนิดผมขึ้นมา สมัยนั้นแม่บอกว่าแม่ติดละครเรื่องหนึ่งมากพระเอกชื่ออานนท์ และแน่นอนครับ เด็กชายอานนท์ สงกล้าหาญ ก็กลายมาเป็นชื่อของผม ผมมีพีน้องทั้งหมด 3 คนครับผมเป็นลูกชายคนกลาง มีพี่สาวและน้องสาว พี่สาวของผมชื่อ พี่น้ำ ผมกับพี่สาวเราห่างกันแค่ปีเดียวครับตั้งแต่ผมจำความได้เราไม่ค่อยจะรักกันซักเท่าไรทะเละกันทุกเรื่องตลอดเวลาเรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันไม่ได้เลยผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร พ่อกับแม่ก็ไม่รู้ปวดหัวทุกวันก็เลยตัดสินใจมีน้องอีกคนมาเพื่อสงบศึกระหว่างผมกับพี่สาว น้องสาวผมชื่อ น้องนิว ครับอายุห่างจากผมประมาณ 6 ปีเป็นน้องที่น่ารักเหมือนที่พ่อกับแม่หวังไว้เลยครับตอนน้องคลอดใหม่ๆและดูเหมือนว่าสงครามระหว่างผมกับพี่สาวจะสงบลงเพราะเห่อน้องสาว และครอบครัวเราก็อยู่กันมาแบบนี้แหล่ะครับจนถึงวันนี้  ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนโชคดีคนมากๆคนหนึ่งเลยนะครับเพราะเมื่อไรที่ผมนึกถึงบ้านมันมีแต่ความคิดถึงครับ คิดถึงพ่อคิดถึงแม่คิดถึงพี่คิดถึงน้องของผม และเมื่อผมกลับไปก็จะมีพวกเขาเหล่านั้นรอผมอยู่ที่บ้านเสมอ   

  
                
                เด็กชายอานนท์ สงกล้าหาญ เด็กชายอานนท์เป็นเด็กขี้แยตั้งแต่เล็กครับ บ้านอยู่อำเภอ วิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ พออายุได้ 4 ขวบ พ่อกับแม่ก็จับเข้าโรงเรียนพร้อมกับพี่สาวซึ่งตอนนั้นพี่สาวอายุ 5 ขวบ ชื่อโรงเรียนอนุบาลวิเชียรบุรี เป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านมากๆครับเดินสองก้าวก็ถึง เพราะมันใกล้นี้เองจึงทำให้เด็กชายอานนท์ร้องให้กลับบ้านทุกวันเพราะเขาคิดในใจเสมอว่าวุฒิภาวะของเขานั้นยังไม่พร้อมสำหรับการเรียน ก็เลยร้องให้กลับบ้านทุกวันเพื่อแสดงออกให้พ่อกับแม่ของเขาเห็นว่าเขายังไม่พร้อมจริงๆจนพ่อกับแม่เห็นความตั้งใจเลยพักการเรียนของเด็กชายอานนท์ไว้ 1 ปีแล้วให้ไปเข้าเรียนอนุบาล 1 อีกครั้งตอนเขาอายุได้ 5 ปีบริบูรณ์ แม้เด็กชายอานนท์ยังรู้สึกว่าตัวเขาเองก็ยังไม่พร้อมสักเท่าไร แต่ด้วยเห็นเพื่อนๆรุ่นเดียวดันอายุ 5 ขวบเหมือนกันเขาอยู่กันได้ตัวเขาเองก็ต้องอยู่ได้แม้จะร้องให้กลับบ้านบ้างเป็นบางครั้งแต่เด็กชายอานนท์ก็เรียนจบชั้นอนุบาลได้อย่างฉลุย
                ป.1  เด็กชายอานนท์ และผองเพื่อนก็เริ่มตั้งตนเป็นใหญ่ในหมู่เพื่อนรุ่นเดียวกัน ด้วยความที่บ้านเขาอยู่ใกล้โรงเรียนและคุ้นเคยกับคุณครูหลายๆท่านเป็นอย่างดี เด็กชายอานนท์เป็นเด็กที่มีความสามรถพิเศษในหลายๆด้าน เช่น  หารายได้พิเศษโดยการเล่นโยนเหลียญคาบเส้นจนมีเงินเหลือเฟือกลับบ้านทุกวัน  ดีดลูกแก้วได้แม่นมากจนเป็นที่คร่ำวอร์ดในวงการแถวบ้านเรียก เซียนอ่ะ ฯลฯ ด้วยความสามรถเหล่านี้เองทำให้เด็กชายอานนท์ไต่เต้าจากลูกกระจ๊อกในแก๊งจนกลายมาเป็นหัวโจกคนหนึ่งของรุ่น    และแล้วเด็กดีที่มีความใฝ่รู้ภาคเพียรก็เรียนจนจบ ป.3 แบบเซียนๆ
                ป.4  เด็กชายอานนท์เริ่มรู้สึกโตเป็นผู้ใหญ่อะไรที่เด็กๆทำเขามองเป็นเรื่องไร้สาระ เข้ามีความชอบวิชาทางด้านศิลปะเป็นพิเศษ จนคุณครูเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขาเฝ้าฝึกฝนวิทยายุทธให้จนเด็กชายอานนท์ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปไปแข่งคาวมามารถด้านศิลปะได้รางวัลสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนมากมาย ทำให้เขามีความรักในด้านศิลปะมาตั้งแต่บัดนั้น  และแล้วมันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วครับ จบ ป.6 สบายๆ  
                ม.1  ผมและผองเพื่อนยกแก๊งกันเข้าโรงเรียนมัธยม ชื่อโรงเรียนนิยมศิลป์อณุสรณ์ เป็นโรงเรียนเล็กๆประจำอำเภอ วิเชียรบุรี และเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งที่ใกล้บ้านผมมากเดินสามสี่ก้าวก็ถึงและก็อีกนั่นแหล่ะครับผมก็เลยคุ้นเคยกับอาจารย์หลายๆท่านเป็นอย่างดี ผมเป็นคนโชคดีครับมีเพื่อนที่คบกันมานานตั้งแต่สมัยปอขี้ไก่จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่เป็นเด็กหลังห้อง ชีวิตช่วงมัธยมต้นมันก็เรื่อยๆครับไม่มีอะไรมาก ผมก็ทำอำไรๆเหมือนชาวบ้านเค้าทำกัน  เล่นกีต้าร์เหล่สาวๆ  แอบชอบรุ่นพี่  มีเรื่องกับรุ่นน้อง  เตะบอลตอนเลิกเรียนกับเพื่อนๆ  โดดเรียนไปร้านเกมส์บ้างให้ชิวิตมันมีอะไรตื่นเต้น  ฯลฯ ใช้ชีวิตสุนกๆไปวันครับ จบ ม.3 แบบงงๆ



               ม.4  ชีวิตม.ปลายของผมช่วงแรกๆมันออกจะเนอร์ดๆหน่อยครับเพราะทะลึ่งสอบติดห้องคิง เห็นเพื่อนๆขยันเรียนผมก็เลยขยันเรียนตามเพื่อน เรียนพิเศษทุกเย็นวิชาอะไรที่ชาวบ้านเขาเรียนกันผมก็เรียนมันสะบั้นหั่นแหลก ยังไม่รู้หลอกครับว่าจะเรียนไปทำไมมากมายก็แค่ตามๆเพื่อนไป  จนมาถึงจุดพลิกผันที่สำคัญมากในชีวิตของผมก็เมื่อตอนปิดภาคเรียนที่ 1 ชั้นม.5 คือผมมีเพื่อนคนหนึ่งบ้านมันอยู่ลาดกระบังครับ มันรู้ข่าวว่าที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เนี่ยมีค่ายติวความถนัดทางสถาปัตย์ ด้วยความที่เป็นเพื่อนสนิทกันและมันคงเห็นเห็นว่าผมชอบศิลปะก็เลยชวนผมมาด้วย ผมก็มาซิครับมันก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆปี้ๆไม่มีอะไรทำ ถ้าผมจำไม่ผิดค่ายติวครั้งนั้นน่าจะชื่อค่าย พันธมิตรประชาทิปเต็ก อะไรประมาณเนี้ย พอมาถึงวันแรกก็ต้องบอกว่ามันใช่เลยครับ อะไรๆมันก็ดูเพลินตาไปหมดเพื่อนๆจากต่างที่ พี่ๆที่เดินผ่านไปผ่านมา น่ารั๊กอ่ะ  ...เอาจริงๆนี่เป็นแค่เหตุผลหนึ่งครับในตอนนั้นที่ผมเลือกเส้นทางชีวิตนี้เหตุผลสำคัญจริงๆคือผมพึ่งค้นพบวิชาชีพที่มันไม่ต้องใช้วิชา เคมี ชีวะ ภาษาไทย พุทธศาสนา ไม่ต้องใช้วิชาอะไรที่ผมไม่ชอบ มันเป็นวิชาชีพที่ใช้ความสามารถทางด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ซิ่งเป็นวิชาที่ผมค่อนข้างถนัดคือเรียนแล้วรู้สึกเบื่อน้อยที่สุดแล้วครับ อีกอย่างผมรู้สึกว่า เด็กถาปัตย์ เนี่ยมันเท่อย่างบอกไม่ถูก ด้วยเห็ตผลเหล่านี้มันทำให้ผมติดสินใจเลือกเส้นทางสายนี้ตั้งแต่วันนั้นครับ  พอเริ่มติวเนี่ยผมเริ่มรู้สึกว่าโลกมันกว้างกว่าที่คิดครับเหนือฟ้าก็ย่อมมีฟ้า อยู่ที่บ้านผมคิดว่าตัวเองเนี่ยเจ๋งมากแล้วพอมาเจอเพื่อนรุ่นพี่ที่นี่ทำเอาผมหงอยอ่อนด๋อยไปเลยครับ เพราะเพื่อนๆหลายๆคนเก่งมากๆครับ พี่ติวนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ในตอนนั้นผมก็ได้แต่คิดว่าทำอย่างไรผมจะเก่งเหมือนพี่ๆที่นี่ได้ จนจบค่ายผมกลับมาถึงบ้าน คำแรกที่ผมพูดกับแม่คือ แม่ อยากเรียนถาปัตย์แม่ผมก็ทำหน้างงๆท่านก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ ถาปัตย์ เนี่ยมันคืออะไรเรียนแล้วเอาไปทำอะไร แต่ผมว่าท่านคงแอบปลื้มใจไม่มากก็น้อยที่ลูกชายคนนี้รู้จักเลือกเส้นทางชีวิตด้วยตัวเอง จากนั้นผมก็เรื่อมหาซื้อหนังสือมาอ่านครับหนังสือที่เคยเห็นเพื่อนอ่านกันตอนไปติวผมก็ลองซื้อมาอ่านดู ยิ่งอ่านผมก็ยิงชอบยิ่งสนใจ พอคนเรามันมีแรงบันดาลใจมันที่เคยว่ายากมันก็ทำได้ทั้งนั้นแหล่ะครับ ผมเริ่มจากการวาดรูปทุกวันวาดนู่นวาดนี่วาดมันสะบั้นหั่นแหลก ฝึกวิทยายุทธจนผมสามารถสอบโควตาเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร(มน.)ได้เป็นที่แรกครับตอนนั้นผมดีใจมากจึงตัดสินใจแล้วว่าจะเรียนที่นั่นเพราะเพื่อนหลายคนก็เรียนที่นั่นเหมือนกัน  แล้ววันนึงไอ้เพื่อนคนเดิมมันก็ชวนผมให้ลองมาสมัครสอบตรงเข้าคณะสถาปัตย์ที่ลาดกระบังนี้เป็นเพื่อนมันหน่อย พอคิดถึงที่นี่ผมก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเลใจเลยครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กบ้านนอกอย่างผมมันจะทำได้ซักแค่ไหน  นี่ไม่ได้คุยนะครับแต่ผมขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าด้วยความที่เป็นเด็กต่างจังหวัดผมจึงไม่เคยมีโอกาสได้ติวความถนัดทางด้านสถาปัตย์ที่ไหนเพราะแถวบ้านผมมันไม่มีครับ  พอถึงวันสอบมันก็ตื่นเต้นครับผมเดินป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณบันไดทางขึ้นห้องสอบ มองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนๆหลายๆคนมีอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มไปหมดในการทำข้อสอบ มีทั้งสีไม้ สีน้ำ สีน้ำมัน โคปีก สีอะครีลิค พลุงพลังเยอะแยะเต็มไปหมดเห็นแล้วใจมันก็เริ่มแป้วครับ เพราะที่ตัวผมเองมีแค่ ดินสอดารฟหัวแหลมเปี๊ยบ ปากกาปิกม่าเบอร์  1 3 5 แล้วก็ปากกาหัวม้า 1 แท่ง พอถึงเวลาสอบมันก็ต้องสอบครับแรกๆผมก็นั่งตัวสั่นยิ๊กๆ ก็มันหนาวแล้วมันก็ตื่นเต้นมากครับ แต่ผมก็ไม่มีอะไรจะเสียพอตั้งตสิได้เริ่มอ่านข้อสอบความตื่นเต้นมันก็ค่ายๆหายไปครับคงเป็นเพราะข้อสอบมันไม่ได้ยากอย่างที่ผมคิด ผมทำเต็มที่ครับ เสร็จก็ออกก็กลับบ้านแปบไม่ได้หวังอะไรมาก  แล้วผมก็แทบไม่เชื่อตัวเองครับ ผมสอบติด! ในตอนนั้นผมดีใจสุดชีวิตครับแต่ที่มากกว่าคือแม่ของผม ผมยังจำสีหน้าและแววตาอันปลื้มปิติของแม่ในวินาทีที่ผมเดินไปบอกท่านได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกกับตัวเองจริงๆว่าความเพียรพยายามและความกล้าที่จะทำในสิ่งที่เรารักนั้นมันไม่เสียเปล่าเลยจริงๆครับ  และแล้วในตอนบ่ายของวันหนึ่งที่ร้านเกม เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น  สวัสดีค่ะใช่น้องอานนท์หรือเปล่าค๊ะ...ครับ... วันพรุ่งนี้เป็นวันแรกพบน๊ะค๊ะเจอกันเก้าโมงเช้าที่คณะน๊ะแล้วปุบปับชีวิตม.ปลายของผมก็จบลงอย่างน่าใจหาย...ผมต้องจากบ้านแล้ว



                ชีวิตเด็กถาปัตย์  วันแรกที่ผมก้าวเข้ามาในฐานะนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ภาควิชาสถาปัตย์กรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีครับมันเป็นวันที่ผมรู้สึกประหม่าที่สุดในชีวิตครับ เพราะอย่างที่บอกผมเป็นเด็กต่างจังหวัดไม่เคยเรียนพิเศษที่สำนักติวใดๆในกรุงเทพฯเลย ผมจึงไม่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาใครเลยแม้แต่คนเดียวมันเคว้งมากครับ แต่ไม่นานนักความรู้สึกนี้มันก็เริ่มหายไปครับมันถูกแทนที่ด้วยมิตรภาพของเพื่อนๆพี่ๆรวมถึงอาจารย์หลายๆท่านครับ และไม่รู้ทำไมยิ่งนานวันมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าที่นี่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ลาดกระบังแห่งนี้มันคือ...บ้าน  ตอนนี้ผมชั้นปีที่ 4 เทอมปลายแล้วครับ ใกล้แล้ว วันเวลาที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มันผ่านไปเร็วอย่างหน้าใจหายครับ แต่ถ้าลองนึกย้อนดูดีๆเหตุการณ์ต่างๆตลอดเวลาสามปีครึ่งที่ผ่านเข้ามาในในชีวิตของผมนั้นผมยังจำมันได้ดี บ่อยครั้งผมและเพื่อนๆก็ยังนั่งคุยถึงเรื่องราวของวันเวลาเก่าๆเหล่านั้นไปตามประสาคนที่อยู่มานานครับ และเรื่องราวเหล่านั้นมันยังคงทำให้เรายิ้มได้เสมอ



                เรื่องของอนาคต  นั้นเอาเข้าจริงๆแล้วผมก็ยังไม่แน่ใจอะไรหรอกครับ รู้แต่ว่าผมเป็นคนชอบงานทางด้านสถาปัตยกรรมไทยครับ ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูกนะครับ ผมแค่รู้สึกว่าผมเป็นคนไทยอะไรที่มันไทยแท้ผมก็อยากจะรู้อยากจะเรียน